
ก่อนหน้าที่โครงการขุดคอคอดกระ จะเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวไทย คงไม่มีใครเคยคิดมาก่อน ว่าในอดีตประเทศไทยเรานั้น
เคยเป็นเส้นทางการค้าทางทะเลของโลกมาก่อน
แต่จากการสำรวจของกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต มีการค้นพบหลักฐานที่ทำให้สามารถสันนิษฐานว่า เส้นทางข้ามคาบสมุทร อันดามัน-อ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดระนอง พังงา จนถึงสุราษฏร์ธานี มีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมเส้นทางการค้าทางทะเลของโลก ด้านตะวันตกและตะวันออกของแหลมมลายูเข้าด้วยกัน
คณะสื่อมวลชนกว่า 20 ชีวิต จึงได้ร่วมเดินทางในโครงการสื่อมวลชนสัญจร “เส้นทางข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน เชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางทะเลโลก” ระหว่างวันที่ 5-9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตามคำเชิญของกรมศิลปากร
7 นาฬิกาของเช้าวันอังคาร คณะสื่อมวลชนและทีมงานกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร ได้มาพบหน้ากันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลพื้นฐานก่อนออกเดินทาง วิทยากรประจำทริปอย่าง ร้อยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต จึงได้เริ่มต้นบรรยายถึงภาพรวมและความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้

ร.อ.บุณยฤทธิ์ กล่าวว่าประเทศไทยมีหลักฐานการติดต่อกับดินแดนภายนอกทางทะเลมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล ดังมีการกล่าวถึงดินแดนสุวรรณภูมิในวรรณกรรมชาดก มหากาพย์ คัมภีร์มหาวงศ์ของอินเดียและลังกา จากการที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของภาคใต้เป็นจุดปะทะของการเดินเรือ ทำให้ดินแดนแถบนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าโลกที่เรียกว่า World System ซึ่งเชื่อมโยงเส้นทางการค้าตั้งแต่ยุโรปตะวันตกโดยผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออกกลางผ่านทะเลแดง ไปยังอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ภาคใต้ตลอดจนส่วนของแหลมมลายูทั้งหมดมีลักษณะเป็นแผ่นดินแคบๆ ทำให้ช่วงหนึ่งมีการใช้เส้นทางขนถ่ายสินค้าบนบกเพื่อลัดข้ามระหว่างฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยไม่จำเป็นต้องเดินเรืออ้อมแหลมมลายู
แม้จะมีผู้เสนอเส้นทางข้ามคาบสมุทรในอดีตไว้หลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีมากที่สุด ได้แก่ เส้นทางตะกั่วป่าและอ่าวบ้านดอน ซึ่งในช่วงนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะถูกควบคุมภายใต้อำนาจทางการเมืองของเมืองไชยา
“เราขุดพบลูกปัดโบราณเกือบตลอดเส้นทาง ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ว่าแหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง และคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เป็นแหล่งผลิตลูกปัด นอกจากนี้ยังค้นพบสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น หัวแหวน หรือจี้แผ่นหินจากโรมัน ภาชนะแก้ว เหรียญ ตราประทับจากอินเดียเป็นต้น” ร.อ.บุณยฤทธิ์ กล่าวถึงโบราณวัตถุอายุกว่า 1000 ปีซึ่งเป็นเครื่องยืนยันทฤษฎี

วันถัดมาคณะเดินทางก็ได้เข้าสู่บริเวณโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขุดพบลูกปัดโบราณเป็นจำนวนมาก
หากมองจากบริเวณถนนภูเขาทองจะเป็นเพียงเนินเขาที่หญ้ารกชัฏ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะพบว่าผิวดินภายใต้พงหญ้านั้นเป็นหลุมบ่อจำนวนมากจนไม่อาจเดินได้อย่างสะดวกดายนัก
“บริเวณนี้มีการลักลอบขุดมาประมาณ 20-30 ปีแล้ว ทำให้ปัจจุบันลูกปัดที่มีสภาพสมบูรณ์มักจะขายกันอยู่ในตลาดของกลุ่มคนที่นิยมซื้อ หรือไม่ก็จะอยู่ในความครอบครองของชาวบ้าน” ร.อ.บุณยฤทธิ์ เผยถึงที่มาของหลุมปริศนาจำนวนมากบนพื้นผิวแหล่งโบราณคดี
หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 15 กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าปัญหาการลักลอบขุดมีมายาวนานก็เพราะมีคนขุด คนซื้อ และคนสะสม ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรัง แม้ในปัจจุบันจะมีอาสาสมัครคอยสอดส่อง แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ลดลงมากนัก
“เรายังมีบุคลากรค่อนข้างน้อยครับ บางครั้งเรามีนักโบราณคดีแค่ 2 คน ต้องดูแล 5 จังหวัด ทำให้บางครั้งการสอดส่องหรือเอาผิดกับคนลักลอบขุดค่อนข้างเป็นไปได้ช้า แต่เราก็มีแนวคิดใหม่คือการปลูกฝังให้เยาวชนในพื้นที่ให้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำอาชีพ เพราะพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ก็ขุดหาลูกปัดไปขาย เราก็เลยให้เด็กกลุ่มนี้มาเรียนวิธีทำลูกปัดและทำเป็นสินค้าของชุมชน ได้รายได้เหมือนกัน แต่ได้จากการสร้าง ไม่ใช่ทำลาย” ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต วิเศษ เพชรประดับ กล่าวถึงแนวทางใหม่ในการประนีประนอมกับชุมชน
แม้ในความเป็นจริง การลักลอบขุดแหล่งโบราณสถานจะฟังดูเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ในความเห็นของ มนต์รัตน์ ชุมศิริ อาจารย์โรงเรียนบ้านภูเขาทอง การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องของความคิดที่แตกต่าง เนื่องจากคนในชุมชนมีความรู้สึกว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของบรรพบุรุษ ทรัพย์สินเหล่านี้จึงเป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน จากความคิดดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองกันระหว่างหน่วยงานรัฐกับชาวบ้าน อย่างไรก็ดีมนต์รัตน์กล่าวว่าโครงการทำลูกปัดขายของเด็กๆ เป็นไปด้วยดี มียอดสั่งจองมากจนทำไม่ทันเลยทีเดียว
หลังจากได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ที่ภูเขาทอง คณะเดินทางได้เคลื่อนเข้าสู่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อเข้าชมแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกสองแห่ง นั่นคือเขาพระเหนอและทุ่งตึก ซึ่งการเดินทางไม่สามารถใช้รถวิ่งไปได้ จำเป็นต้องต่อเรือหางยาวเพื่อเข้าไปที่เขา แต่ด้วยความที่ยังไม่ถึงเวลาน้ำขึ้นดี เรือจึงไม่สามารถพาคณะเดินทางไปถึงฝั่งได้ สื่อมวลชนทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่จึงต้องพับขากางเกงลงลุยแม่น้ำตะกั่วป่ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใครที่พกกล้องมาก็ต้องคอยประคบประหงมกันเป็นการใหญ่ เพราะถ้าพลาดลื่นขึ้นมาสักครั้ง ภาพทั้งหมดอาจจะอันตรธานไปกับสายน้ำได้

เขาพระเหนอเป็นเขาลูกเล็กๆ (แต่เล่นเอาหลายคนหอบแฮ่ก) ที่พบเทวรูปพระนารายณ์บนยอดเขา เทวรูปองค์นี้มีมัดกล้ามเหมือนมนุษย์ นับว่าสวยงามที่สุดองค์หนึ่ง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
การที่มีศาสนสถานบนยอดเขาแสดงถึงหลักฐานการที่เคยมีผู้อยู่อาศัยมาก่อน รวมถึงพื้นที่ในบริเวณทุ่งตึก ที่มีการสันนิษฐานว่าเคยเป็นชุมชนเมืองท่าขนาดใหญ่ในสมัยก่อน มีการค้นพบเครื่องถ้วยเปอร์เซีย ถ้วยชามจีนสมัยราชวงศ์ถัง รวมไปถึงลูกปัดที่ใช้เทคนิคขั้นสูง หลากสีในเม็ดเดียวกัน
วันที่สามของการเดินทาง คณะสื่อมวลชนได้มาเยือนเขาพระนารายณ์หรือเขาเวียง อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นจุดที่ค้นพบกลุ่มเทวรูปเรียกว่า มัธยมโยคะสถานมูรติ ประกอบด้วยพระนารายณ์ และเทวรูปบริวารอีก 2 องค์ นั่นคือฤาษีมารกันเฑยะ และนางภูเทวี
ตามตำนานเล่าว่า พม่าตั้งใจจะเอาเทวรูปทั้ง 3 องค์ กลับไปในช่วงสงคราม 9 ทัพ แต่หลังจากยกลงมาจากยอดเขาแล้วเกิดฝนตกห่าใหญ่ ไม่สามารถขนย้ายไปได้ จึงต้องตั้งไว้ที่คลองฝั่งตรงข้าม จนต้นไม้ขึ้นปกคลุมดูเหมือนเทวรูปโผล่ออกมาจากกลางลำต้น ปัจจุบันกลุ่มเทวรูปได้ถูกนำไปจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง
นอกจากนี้ทางด้านล่างของเขาพระนารายณ์ ยังมีการจัดตั้งเทวสถานพระนารายณ์โดยมูลนิธิเทวสถานพระนารายณ์ศรีอันดามัน เพื่อให้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน มีพราหมณ์จากประเทศอินเดีย ผู้นับถือไวษณพนิกายซึ่งบูชาพระนารายณ์เป็นหลัก คอยดูแลและทำพิธีทางศาสนา รวมถึงให้ความรู้กับผู้เยี่ยมชมอีกด้วย
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอีกรอบระหว่างนั่งรถบัสไปยังอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปเยือนควนพุนพิน เนินเขาที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่แม่น้ำพุมดวงและน้ำตาปีมาบรรจบกัน

คณะสื่อมวลชนได้รับเสื้อกันฝนสีสันสดใสก่อนจะลงไปศึกษาแหล่งโบราณคดี ทำให้ภาพกลุ่มคนในชุดสีน้ำเงิน เขียว แดงที่เดินผ่านสวนยางท่ามกลางสายฝนเป็นภาพไม่คุ้นตาของทั้งคนทั้งสัตว์ในบริเวณนั้น บางคนถูกหมาไล่เห่า แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ถึงแม้ว่าควนพุนพินจะเป็นแหล่งที่ค้นพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพิมพ์ดินดิบ และเหรียญเงินอาหรับโบราณ แต่บริเวณนี้ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ทำการขุดแต่ง เนื่องจากยังไม่มีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน กอปรกับพื้นที่บริเวณนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน กรมศิลปากรจึงไม่สามารถดำเนินการขุดค้นทางวิชาการได้เต็มที่
ประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องที่คลุมเครือพอสมควร การค้นคว้าย่อมทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างแยกเป็นหลายสาย บ้างคิดว่าเส้นทางนี้ไม่เคยมีชุมชนอยู่ บ้างคิดว่าเส้นทางนี้เคยเป็นชุมชมการค้าที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่จากหลักฐานที่พบส่วนมากมีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงทำให้เกิดคำถามว่าชุมชนดังกล่าวหายไปได้อย่างไร
“ประวัติศาสตร์ทางภาคใต้ของเราหลังจากยุครุ่งเรืองของเมืองไชยาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 ก็ไม่มีการค้นพบหลักฐานอื่นๆ จนกระทั่งเข้าสู่สมัยอยุธยา ผมคิดว่าสาเหตุมาจากการที่เทคโนโลยีการเดินเรือซึ่งดีขึ้น ทำให้สามารถเดินทางผ่านช่องแคบมะละกาได้ เป็นผลให้เส้นทางตะกั่วป่าไปจนถึงอ่าวบ้านดอนไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุดอีกต่อไป นอกจากนี้ภูมิประเทศก็ไม่ได้เอื้อต่อการอยู่อาศัย เมื่อไม่มีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายชุมชนออกไป” ร.อ.บุณยฤทธิ์ แสดงความคิดเห็นต่อการเสื่อมลงของอดีตเส้นทางการค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่
ใช่ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะมีเพียงแต่โบราณวัตถุ เพราะโบราณสถานขนาดใหญ่ก็ยังมีให้เห็นบ้าง เช่น วัดหลง วัดแก้ว รวมไปถึงวัดท่าโพธิ์ที่เป็นวัดอยุธยาแต่มีเจดีย์แบบศรีวิชัย แสดงให้เห็นอิทธิพลของเมืองไชยาบนดินแดนนี้
เมื่อเดินทางมาถึงอ่าวบ้านดอนก็ได้พบแหลมโพธิ์ เมืองท่าการค้าสำคัญของฝั่งอ่าวไทย ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นชายหาดทั่วไป แต่สิ่งที่ปะปนกับเศษหินและเปลือกหอยบนชายหาดแห่งนี้คือเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ถังของจีนจำนวนมาก ปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้ง่ายดาย
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ คณะสื่อมวลชนมีโอกาสร่วมงานการถวายนพรัตน์สังวาลประดับพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ประธานในพิธีคืออธิบดีกรมศิลปากร เกรียงไกร สัมปัชชลิต จึงเป็นโอกาสเหมาะที่สื่อมวลชนจะได้ร่วมพูดคุย
“ผมอยากให้คนไทยเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์บ้านเรา อย่างน้อยที่สุดให้ช่วยกันรักษา การที่เราได้อยู่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มันจะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินและเข้าใจในรากเหง้าของตัวเรามากกว่าในตำราเรียน” อธิบดีเกรียงไกร กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น