วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตามรอยเส้นทางข้ามคาบสมุทร ตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน



ก่อนหน้าที่โครงการขุดคอคอดกระ จะเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวไทย คงไม่มีใครเคยคิดมาก่อน ว่าในอดีตประเทศไทยเรานั้น
เคยเป็นเส้นทางการค้าทางทะเลของโลกมาก่อน

แต่จากการสำรวจของกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต มีการค้นพบหลักฐานที่ทำให้สามารถสันนิษฐานว่า เส้นทางข้ามคาบสมุทร อันดามัน-อ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดระนอง พังงา จนถึงสุราษฏร์ธานี มีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมเส้นทางการค้าทางทะเลของโลก ด้านตะวันตกและตะวันออกของแหลมมลายูเข้าด้วยกัน
คณะสื่อมวลชนกว่า 20 ชีวิต จึงได้ร่วมเดินทางในโครงการสื่อมวลชนสัญจร “เส้นทางข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน เชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางทะเลโลก” ระหว่างวันที่ 5-9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตามคำเชิญของกรมศิลปากร
7 นาฬิกาของเช้าวันอังคาร คณะสื่อมวลชนและทีมงานกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร ได้มาพบหน้ากันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลพื้นฐานก่อนออกเดินทาง วิทยากรประจำทริปอย่าง ร้อยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต จึงได้เริ่มต้นบรรยายถึงภาพรวมและความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้


ร.อ.บุณยฤทธิ์ กล่าวว่าประเทศไทยมีหลักฐานการติดต่อกับดินแดนภายนอกทางทะเลมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล ดังมีการกล่าวถึงดินแดนสุวรรณภูมิในวรรณกรรมชาดก มหากาพย์ คัมภีร์มหาวงศ์ของอินเดียและลังกา จากการที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของภาคใต้เป็นจุดปะทะของการเดินเรือ ทำให้ดินแดนแถบนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าโลกที่เรียกว่า World System ซึ่งเชื่อมโยงเส้นทางการค้าตั้งแต่ยุโรปตะวันตกโดยผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออกกลางผ่านทะเลแดง ไปยังอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ภาคใต้ตลอดจนส่วนของแหลมมลายูทั้งหมดมีลักษณะเป็นแผ่นดินแคบๆ ทำให้ช่วงหนึ่งมีการใช้เส้นทางขนถ่ายสินค้าบนบกเพื่อลัดข้ามระหว่างฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยไม่จำเป็นต้องเดินเรืออ้อมแหลมมลายู
แม้จะมีผู้เสนอเส้นทางข้ามคาบสมุทรในอดีตไว้หลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีมากที่สุด ได้แก่ เส้นทางตะกั่วป่าและอ่าวบ้านดอน ซึ่งในช่วงนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะถูกควบคุมภายใต้อำนาจทางการเมืองของเมืองไชยา
“เราขุดพบลูกปัดโบราณเกือบตลอดเส้นทาง ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ว่าแหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง และคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เป็นแหล่งผลิตลูกปัด นอกจากนี้ยังค้นพบสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น หัวแหวน หรือจี้แผ่นหินจากโรมัน ภาชนะแก้ว เหรียญ ตราประทับจากอินเดียเป็นต้น” ร.อ.บุณยฤทธิ์ กล่าวถึงโบราณวัตถุอายุกว่า 1000 ปีซึ่งเป็นเครื่องยืนยันทฤษฎี



วันถัดมาคณะเดินทางก็ได้เข้าสู่บริเวณโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขุดพบลูกปัดโบราณเป็นจำนวนมาก
หากมองจากบริเวณถนนภูเขาทองจะเป็นเพียงเนินเขาที่หญ้ารกชัฏ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะพบว่าผิวดินภายใต้พงหญ้านั้นเป็นหลุมบ่อจำนวนมากจนไม่อาจเดินได้อย่างสะดวกดายนัก
“บริเวณนี้มีการลักลอบขุดมาประมาณ 20-30 ปีแล้ว ทำให้ปัจจุบันลูกปัดที่มีสภาพสมบูรณ์มักจะขายกันอยู่ในตลาดของกลุ่มคนที่นิยมซื้อ หรือไม่ก็จะอยู่ในความครอบครองของชาวบ้าน” ร.อ.บุณยฤทธิ์ เผยถึงที่มาของหลุมปริศนาจำนวนมากบนพื้นผิวแหล่งโบราณคดี
หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 15 กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าปัญหาการลักลอบขุดมีมายาวนานก็เพราะมีคนขุด คนซื้อ และคนสะสม ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรัง แม้ในปัจจุบันจะมีอาสาสมัครคอยสอดส่อง แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ลดลงมากนัก
“เรายังมีบุคลากรค่อนข้างน้อยครับ บางครั้งเรามีนักโบราณคดีแค่ 2 คน ต้องดูแล 5 จังหวัด ทำให้บางครั้งการสอดส่องหรือเอาผิดกับคนลักลอบขุดค่อนข้างเป็นไปได้ช้า แต่เราก็มีแนวคิดใหม่คือการปลูกฝังให้เยาวชนในพื้นที่ให้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำอาชีพ เพราะพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ก็ขุดหาลูกปัดไปขาย เราก็เลยให้เด็กกลุ่มนี้มาเรียนวิธีทำลูกปัดและทำเป็นสินค้าของชุมชน ได้รายได้เหมือนกัน แต่ได้จากการสร้าง ไม่ใช่ทำลาย” ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต วิเศษ เพชรประดับ กล่าวถึงแนวทางใหม่ในการประนีประนอมกับชุมชน
แม้ในความเป็นจริง การลักลอบขุดแหล่งโบราณสถานจะฟังดูเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ในความเห็นของ มนต์รัตน์ ชุมศิริ อาจารย์โรงเรียนบ้านภูเขาทอง การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องของความคิดที่แตกต่าง เนื่องจากคนในชุมชนมีความรู้สึกว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของบรรพบุรุษ ทรัพย์สินเหล่านี้จึงเป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน จากความคิดดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองกันระหว่างหน่วยงานรัฐกับชาวบ้าน อย่างไรก็ดีมนต์รัตน์กล่าวว่าโครงการทำลูกปัดขายของเด็กๆ เป็นไปด้วยดี มียอดสั่งจองมากจนทำไม่ทันเลยทีเดียว
หลังจากได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ที่ภูเขาทอง คณะเดินทางได้เคลื่อนเข้าสู่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อเข้าชมแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกสองแห่ง นั่นคือเขาพระเหนอและทุ่งตึก ซึ่งการเดินทางไม่สามารถใช้รถวิ่งไปได้ จำเป็นต้องต่อเรือหางยาวเพื่อเข้าไปที่เขา แต่ด้วยความที่ยังไม่ถึงเวลาน้ำขึ้นดี เรือจึงไม่สามารถพาคณะเดินทางไปถึงฝั่งได้ สื่อมวลชนทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่จึงต้องพับขากางเกงลงลุยแม่น้ำตะกั่วป่ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใครที่พกกล้องมาก็ต้องคอยประคบประหงมกันเป็นการใหญ่ เพราะถ้าพลาดลื่นขึ้นมาสักครั้ง ภาพทั้งหมดอาจจะอันตรธานไปกับสายน้ำได้



เขาพระเหนอเป็นเขาลูกเล็กๆ (แต่เล่นเอาหลายคนหอบแฮ่ก) ที่พบเทวรูปพระนารายณ์บนยอดเขา เทวรูปองค์นี้มีมัดกล้ามเหมือนมนุษย์ นับว่าสวยงามที่สุดองค์หนึ่ง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
การที่มีศาสนสถานบนยอดเขาแสดงถึงหลักฐานการที่เคยมีผู้อยู่อาศัยมาก่อน รวมถึงพื้นที่ในบริเวณทุ่งตึก ที่มีการสันนิษฐานว่าเคยเป็นชุมชนเมืองท่าขนาดใหญ่ในสมัยก่อน มีการค้นพบเครื่องถ้วยเปอร์เซีย ถ้วยชามจีนสมัยราชวงศ์ถัง รวมไปถึงลูกปัดที่ใช้เทคนิคขั้นสูง หลากสีในเม็ดเดียวกัน
วันที่สามของการเดินทาง คณะสื่อมวลชนได้มาเยือนเขาพระนารายณ์หรือเขาเวียง อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นจุดที่ค้นพบกลุ่มเทวรูปเรียกว่า มัธยมโยคะสถานมูรติ ประกอบด้วยพระนารายณ์ และเทวรูปบริวารอีก 2 องค์ นั่นคือฤาษีมารกันเฑยะ และนางภูเทวี
ตามตำนานเล่าว่า พม่าตั้งใจจะเอาเทวรูปทั้ง 3 องค์ กลับไปในช่วงสงคราม 9 ทัพ แต่หลังจากยกลงมาจากยอดเขาแล้วเกิดฝนตกห่าใหญ่ ไม่สามารถขนย้ายไปได้ จึงต้องตั้งไว้ที่คลองฝั่งตรงข้าม จนต้นไม้ขึ้นปกคลุมดูเหมือนเทวรูปโผล่ออกมาจากกลางลำต้น ปัจจุบันกลุ่มเทวรูปได้ถูกนำไปจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง
นอกจากนี้ทางด้านล่างของเขาพระนารายณ์ ยังมีการจัดตั้งเทวสถานพระนารายณ์โดยมูลนิธิเทวสถานพระนารายณ์ศรีอันดามัน เพื่อให้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน มีพราหมณ์จากประเทศอินเดีย ผู้นับถือไวษณพนิกายซึ่งบูชาพระนารายณ์เป็นหลัก คอยดูแลและทำพิธีทางศาสนา รวมถึงให้ความรู้กับผู้เยี่ยมชมอีกด้วย
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอีกรอบระหว่างนั่งรถบัสไปยังอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปเยือนควนพุนพิน เนินเขาที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่แม่น้ำพุมดวงและน้ำตาปีมาบรรจบกัน





คณะสื่อมวลชนได้รับเสื้อกันฝนสีสันสดใสก่อนจะลงไปศึกษาแหล่งโบราณคดี ทำให้ภาพกลุ่มคนในชุดสีน้ำเงิน เขียว แดงที่เดินผ่านสวนยางท่ามกลางสายฝนเป็นภาพไม่คุ้นตาของทั้งคนทั้งสัตว์ในบริเวณนั้น บางคนถูกหมาไล่เห่า แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ถึงแม้ว่าควนพุนพินจะเป็นแหล่งที่ค้นพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพิมพ์ดินดิบ และเหรียญเงินอาหรับโบราณ แต่บริเวณนี้ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ทำการขุดแต่ง เนื่องจากยังไม่มีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน กอปรกับพื้นที่บริเวณนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน กรมศิลปากรจึงไม่สามารถดำเนินการขุดค้นทางวิชาการได้เต็มที่
ประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องที่คลุมเครือพอสมควร การค้นคว้าย่อมทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างแยกเป็นหลายสาย บ้างคิดว่าเส้นทางนี้ไม่เคยมีชุมชนอยู่ บ้างคิดว่าเส้นทางนี้เคยเป็นชุมชมการค้าที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่จากหลักฐานที่พบส่วนมากมีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงทำให้เกิดคำถามว่าชุมชนดังกล่าวหายไปได้อย่างไร
“ประวัติศาสตร์ทางภาคใต้ของเราหลังจากยุครุ่งเรืองของเมืองไชยาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 ก็ไม่มีการค้นพบหลักฐานอื่นๆ จนกระทั่งเข้าสู่สมัยอยุธยา ผมคิดว่าสาเหตุมาจากการที่เทคโนโลยีการเดินเรือซึ่งดีขึ้น ทำให้สามารถเดินทางผ่านช่องแคบมะละกาได้ เป็นผลให้เส้นทางตะกั่วป่าไปจนถึงอ่าวบ้านดอนไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุดอีกต่อไป นอกจากนี้ภูมิประเทศก็ไม่ได้เอื้อต่อการอยู่อาศัย เมื่อไม่มีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายชุมชนออกไป” ร.อ.บุณยฤทธิ์ แสดงความคิดเห็นต่อการเสื่อมลงของอดีตเส้นทางการค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่
ใช่ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะมีเพียงแต่โบราณวัตถุ เพราะโบราณสถานขนาดใหญ่ก็ยังมีให้เห็นบ้าง เช่น วัดหลง วัดแก้ว รวมไปถึงวัดท่าโพธิ์ที่เป็นวัดอยุธยาแต่มีเจดีย์แบบศรีวิชัย แสดงให้เห็นอิทธิพลของเมืองไชยาบนดินแดนนี้
เมื่อเดินทางมาถึงอ่าวบ้านดอนก็ได้พบแหลมโพธิ์ เมืองท่าการค้าสำคัญของฝั่งอ่าวไทย ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นชายหาดทั่วไป แต่สิ่งที่ปะปนกับเศษหินและเปลือกหอยบนชายหาดแห่งนี้คือเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ถังของจีนจำนวนมาก ปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้ง่ายดาย
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ คณะสื่อมวลชนมีโอกาสร่วมงานการถวายนพรัตน์สังวาลประดับพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ประธานในพิธีคืออธิบดีกรมศิลปากร เกรียงไกร สัมปัชชลิต จึงเป็นโอกาสเหมาะที่สื่อมวลชนจะได้ร่วมพูดคุย
“ผมอยากให้คนไทยเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์บ้านเรา อย่างน้อยที่สุดให้ช่วยกันรักษา การที่เราได้อยู่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มันจะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินและเข้าใจในรากเหง้าของตัวเรามากกว่าในตำราเรียน” อธิบดีเกรียงไกร กล่าว




ศิลาธรรมจักรแห่งเมืองศรีเทพ



ธรรมจักรเป็นเครื่องหมายทางพระพุทธศาสนาซึ่งตามปกติจะทำด้วยศิลาเป็นรูปกงจักร มีกงล้อ ๘ ซี่บ้าง ๑๒ ซี่บ้าง และมีกวางหมอบเหลียวหลังประกอบอยู่ทางด้านหน้า รูปธรรมจักรเองมีความหมายถึงการแสดงธรรมส่วนกวางหมอบหมายถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี รวมแล้วจึงหมายถึงพระพุทธองค์ทรงประทานปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า คือ อัญญาโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิย มหานามะ และอัสสชิ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จนได้ดวงตาเห็นธรรม
การสร้างเครื่องหมายแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งทรงประชวรใกล้จะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐากได้ทูลปรารภว่าบรรดาพระภิกษุสาวกที่ได้เคยเฝ้าแหนอยู่เป็นเนืองนิจ เมื่อมิได้เห็นพระพุทธองค์คงจะพากันว้าเหว่เป็นอันมาก พระพุทธองค์จึงทรงประทานพุทธานุญาตให้ใช้สังเวชนียสถาน ๔ แห่งสำหรับพุทธสาวกผู้ใครจะได้เห็นพระองค์ไปปลงธรรมสังเวช ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง คือ ที่ประสูติ ณ ป่าลุมพินี แขวงเมืองกบิลพัสดุ์ ที่ตรัสรู้ ณ โพธิพฤกษ์มณฑล ณ แขวงเมืองคยา (พุทธคยา) ที่ประทานปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงพาราณสี และที่ปรินิพพาน ณ ตำบลสาละวัน แขวงกุสินารา

หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วประมาณ ๓๐๐ ปี พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช บรรดาพุทธศาสนิกชนได้สร้างของที่ระลึกแทน เพื่อเป็นที่เคารพบูชา แต่ด้วยเหตุที่ประเพณีของชาวอินเดียสมัยนั้นไม่กล้าสร้างรูปจำลององค์จริง เพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้สร้างสิ่งสมมติแทน ซึ่งได้ความคิดมาจากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นตัวอย่างในการสร้าง เช่น ดอกบัวหมายถึงพระพุทธองค์ตอนประสูติ ต้นโพธิ์และอาสนะเปล่าหมายถึงตอนตรัสรู้ พระธรรมจักรและกวางหมอบหมายถึงตอนประทานปฐมเทศนา และสถูปหมายถึงตอนปรินิพพาน นอกจากน้ยังมีรอยพระพุทธบาทหมายถึงตอนเสด็จออกบรรพชา
สาเหตุที่ใช้ธรรมจักรแทนพระพุทธองค์ตอนประทานปฐมเทศนานั้น เนื่องมาจากตอนท้ายปฐมเทศนาที่คนรุ่นหลังมาต่อเติมเป็นคำสรรเสริญว่า ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ อปฺปฏิวตฺติยํ มีความหมายว่าพระพุทธองค์ได้ทรงยังพระธรรมจักรให้เป็นไปอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้เป็นไปได้ และการที่เสด็จออกบรรพชาก็ทรงประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าพระจักรพรรดิ คำสอนก็เป็นจักรรัตนะ คืออำนาจของพระจักรพรรดิเช่นเดียวกัน
ศิลาธรรมจักร หรือพระธรรมจักรเป็นโบราณวัตถุสำคัญที่มีอยู่น้อยชิ้นในประเทศไทย เช่นที่พบที่จังหวัดนครปฐม อันมีหลักฐานว่าเป็นเมืองในสมัยสุวรรณภูมิที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระโสณเถระ และพระอุตรเถระเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ศิลปะของยุคนี้จัดเป็นศิลปะสมัยทวารวดี อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ และอีกชิ้นหนึ่งคือศิลาธรรมจักรที่ได้พบที่เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่เป็นศิลาธรรมจักรเพียงอย่างเดียว ไม่มีรูปกวางหมอบประกอบ ปัจจุบันโบราณวัตถุชิ้นนี้ตั้งแสดงอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ


อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ห่างจากเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ ๑๓๐ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑ สายสระบุรี-หล่มสัก ถึงกิโลเมตรที่ ๑๐๒ จะมีทางแยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๒๑ ไปอีกประมาณ ๙ กิโลเมตร เป็นเมืองเก่าที่มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ปี ยังมีหลักฐานตัวเมืองทั้งส่วนในและส่วนนอกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงค้นพบเมืองศรีเทพ หรือเมืองอภัยสาลีแห่งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้พบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ เช่น เทวรูปพระนารายณ์ พระกฤษณะและพระอาทิตย์ มีอายุระหว่งพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ รวมทั้งศิลาจารึกอีกหลายหลักและศิลปะวัตถุสมัยทวาราวดีด้วย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเมืองศรีเทพมีความสำคัญมาแต่โบราณกาล และอาจเป็นเมืองที่ชาวอินเดียมาตั้งขึ้นแต่เดิม เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางผ่านจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปยังอาณาจักรฟูนันและอาณาจักรขอม และต่อมาพวกขอมได้เข้ามาครอบครองจนกระทั่งหมดอำนาจลง เมืองศรีเทพจึงถูกทอดทิ้งไปราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘



ปัจจุบันโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้รับการบูรณะตกแต่งแล้วเป็นอย่างดีประมาณ ๗๐ แห่ง ประกอบด้วยเมือง ๒ เมือง เมืองแรกผังเมืองรูปร่างคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมุมมน กว้างยาวด้านละ ๑,๖๐๐ เมตร ส่วนเมืองที่สองซึ่งสร้างเพิ่มเติมมีขนาดใหญ่กว่า ทั้งสองเมืองมีเชิงเทินก่อด้วยดินและศิลแลงล้อมรอบ มีประตูอยู่ทั้งหมด ๑๑ ประตู วิ่งที่น่าชมภายในอุทยานฯ มีศาลเจ้าพ่อศรีเทพ โบราณสถานเขาคลังใน ที่เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บอาวุธและทรัพย์สมบัติ ปรางค์ศรีเทพ สถาปัตยกรรมร่วมแบบศิลปะเขมร ปรางค์สองพี่น้อง ซึ่งมีทับหลังจำหลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารพตีประทับนั่งอยู่เหนือโคอุศุภราช อาคารแบบทวาราวดีขนาดใหญ่ และสระแก้ว สระขวัญ ซึ่งมีน้ำขังตลอดปี ถือกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีการนำน้ำทั้งสองสระนี้ไปทำน้ำพิพัฒน์สัตยามาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพเปิดให้เข้าชมทุกวันระหว่างเวลา ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ นาฬิกา ค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๓๐ บาท สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการวิทยากรบรรยาย ติดต่อโดยตรงได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ
จังหวัดเพชรบูรณ์ ๖๗๑๗๐ โทรศัพท์ (๐๕๖) ๗๙-๙๔๖๖